คอมพิวเตอร์คืออะไร
คอมพิวเตอร์ (computer) เข้ามามีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อสังคมของมนุษย์เราในปัจจุบัน แทบทุกวงการ ล้วนนำคอมพิวเตอร์เข้า ไปเกี่ยวข้องกับการใช้งาน จนกล่าวได้ว่า คอมพิวเตอร์เป็นปัจจัย ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อ การดำเนินชีวิตและ การทำงานใน ชีวิตประจำวัน ฉะนั้น การเรียนรู้เพื่อทำ ความรู้จัก กับคอมพิวเตอร์จึงถือเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะ ทราบว่าคอมพิวเตอร์คืออะไร ทำงานอย่างไร และมีความสำคัญต่อมนุษย์อย่างไร
ความหมายของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ ดังนั้นถ้ากล่าวอย่างกว้าง ๆ เครื่องคำนวณที่มีส่วนประกอบเป็นเครื่องกลไกหรือเครื่องไฟฟ้า ต่างก็จัดเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งสิ้น ลูกคิดที่เคยใช้กันในร้านค้า ไม้บรรทัด คำนวณ (slide rule) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือประจำตัววิศวกรในยุคยี่สิบปีก่อน หรือเครื่องคิดเลข ล้วนเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งหมด
ในปัจจุบันความหมายของคอมพิวเตอร์จะระบุเฉพาะเจาะจง หมายถึงเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานคำนวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คำจำกัดความของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์
คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิด คำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลข และ ตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนียังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้
ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์
1.ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting)
2.ความเร็ว (Speed)
3.ความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy)
4.ความน่าเชื่อถือ (Reliability)
5.การจัดเก็บข้อมูล (Storage Capability)
6.ทำงานซ้ำๆได้อย่างอัตโนมัติ (Repeatability)
7.การติดต่อสื่อสาร (Communication)
ความสำคัญของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อให้มีความสามารถในการทำงานที่รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ เก็บข้อมูลได้มากมายมหาศาล และทำงานได้โดยอัตโนมัติ คอมพิวเตอร์ถูกนำมาใช้สำหรับงานที่ต้องมีการประมวลผลการทำงานที่ซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะทำได้ หรือมนุษย์สามารถทำได้ แต่ก็จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาที่ยาวนานมาก และอาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดได้อย่างง่ายดาย เช่น การคำนวณตัวเลขหลายหลักภายในเวลาอันรวดเร็ว การทำงานในแบบเดียวกันซ้ำๆ กันหลายครั้ง การจดจำข้อมูลตัวเลขและตัวอักษรจำนวนมาก เป็นต้น ซึ่งงานที่น่าเบื่อและยุ่งยากเหล่านี้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานแทนมนุษย์ โดยที่มนุษย์มีหน้าที่เพียงเป็นผู้สั่งการเท่านั้น ดังนั้นทั้งหน่วยงานราชการและหน่วยงานเอกชนจึงมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานกันอย่างกว้างขวาง แม้แต่องค์กรขนาดเล็ก ก็ยังต้องนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน
คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทในการทำงานแทนมนุษย์หลายลักษณะ เช่น การทำงานที่เสี่ยงอันตราย การคำนวณทางวิศวกรรม การคำนวณทางสถิติ การทำธุรกิจทั้งภายในและภายนอกองค์กร การสร้างงานศิลปะ การออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ การติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การจัดการงานเอกสาร เป็นต้น จะเห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์กลายเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำงานของหลายหน่วยงาน และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้งานคอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน ดังต่อไปนี้
1. การสื่อสาร (communication)
ในยุคปัจจุบันเรียกว่า เป็นยุคแห่งการสื่อสารแบบไร้พรมแดน มีการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ คอมพิวเตอร์สามารถช่วยในการติดต่อสื่อสารกับทุกคนได้ทุกมุมโลกได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) การพูดคุยและส่งข้อความทางอินเทอร์เน็ต อีกทั้งยังสามารถสร้างเว็บเพจส่วนบุคคลให้เพื่อนๆ หรือครอบครัวเข้ามาชมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้อย่างอิสระ
2. การเลือกซื้อสินค้า (shopping)
การเยี่ยมชมร้านค้าต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า ไซเบอร์มอลล์ (cyber mall) เพื่อเลือกชมสินค้าและสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบการบริการทางอินเทอร์เน็ต ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้
3. การสืบค้นข้อมูล (searching)
การสืบค้นข้อมูลต่างๆ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว โดยมีเครื่องมือหรือโปรแกรมในการค้นหาเว็บไซต์ ที่เรียกว่า "search engine" เช่น www.sanook.com, www.google.co.th, www.bing.com เป็นต้น เพื่อค้นหาบทความ เอกสาร ข่าวท้องถิ่น ข่าวภายในประเทศหรือต่างประเทศ รูปภาพต่างๆ ตามความสนใจได้ ซึ่งในปัจจุบันจะมีลักษณะเป็นมัลติมีเดีย เช่น ภาพ เสียง คลิปวิดีโอ เป็นต้น ที่สัมพันธ์กับเนื้อหาให้เลือกชมมากมาย
4. ด้านความบันเทิง (entertainment)
สามารถอ่านหนังสือ ฟังเพลง ชมรายการต่างๆ ของสถานีโทรทัศน์ และเล่นเกมผ่านคอมพิวเตอร์ เพื่อศึกษาหาความรู้ ฝึกทักษะในด้านต่างๆ และผ่อนคลายความเครียดโดยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หรือไม่ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็ได้
5. ด้านการศึกษา (education)
เช่น การนำคอมพิวเตอร์มาใช้พิมพ์รายงาน นำเสนอผลงาน ทำสื่อการเรียนการสอน ทำงานหรือการบ้านส่งอาจารย์ รวมถึงการเรียนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) ที่เป็นโปรแกรมประยุกต์ทางเว็บไซต์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าเรียนวิชาต่างๆ ได้ โดยมีหลักสูตรหรือวิชาต่างๆ ให้เลือกมากมายในทุกๆ ระดับชั้น บางหลักสูตรเรียนฟรี แต่ในบางหลักสูตรอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเรียนเพิ่มเติม
คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อช่วยในการคิดเลขและแก้ปัญหาต่างๆ แต่กว่าจะมาเป็นคอมพิวเตอร์ได้นั้น ได้ผ่านขั้นตอนของการพัฒนามาหลายขั้นตอน การทำงานของคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย หน่วยสำคัญ 5 หน่วย ได้แก่ หน่วยรับเข้า หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจำหลัก หน่วยความจำรอง และหน่วยส่งออก
คอมพิวเตอร์ได้ผ่านการพัฒนามาหลายยุค เราอาจแบ่งยุคของพัฒนาการของคอมพิวเตอร์ได้ดังนี้
ด้วยการแบ่งตามพัฒนาการด้านฮาร์ดแวร์ แบ่งได้เป็น 5 ยุค คือ
ยุคที่ 1 ยุคหลอดสุญญากาศ
เริ่มขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ชื่อ ENIAC ขึ้นใช้ เพื่อใช้ประมวลผลในสงคราม เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่งมีขนาดใหญ่โตมาก และมีความร้อนสูงมากในระหว่างการทำงานซึ่งทำให้เกิดชำรุดเสียหายได้ง่าย
ยุคที่ 2 ยุคทรานซิสเตอร์
เป็นคอมพิวเตอร์ที่เริ่มมีการใช้งานในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นคอมพิวเตอร์แบบเมนเฟรม (main frame computer) สำหรับใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ การโปรแกรมและการป้อนข้อมูลใช้เทปกระดาษเจาะรู ส่วนผลลัพธ์ของการประมวลผลจะพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ไลน์พรินเตอร์ (line printer) บนกระดาษต่อเนื่อง
ยุคที่ 3 ยุควงจรรวม หรือไอซี
เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลงและมีสมรรถนะสูงขึ้นมาก ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาอุปกรณ์นำเข้าและส่งออกที่ใช้ง่าย มีประสิทธิภาพสูงขึ้น จอภาพแสดงผลแบบซีอาร์ทีใช้เทปแม่เหล็กในการบันทึกข้อมูล และมีการพัฒนาระบบผู้ใช้หลายคน (multiuser) ที่สามารถใช้เครื่องพร้อมกันได้ คอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีทั้งแบบเมนเฟรมและแบบมินิ คอมพิวเตอร์
ยุคที่ 4 ยุคไมโครโพรเซสเซอร์
เป็นยุคล่าสุดในลำดับพัฒนาการของคอมพิวเตอร์ ไมโครโพรเซสเซอร์เป็นวงจรรวมชนิดพิเศษ ที่ย่อส่วนสำคัญที่สุดของคอมพิวเตอร์คือ หน่วยประมวลผลกลาง (central processing unit : CPU) ลงอยู่ในไอซีซิปเพียงตัวเดียว โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า VLSI คือการนำวงจรที่ประกอบด้วยทรานซิสเตอร์หลายล้านตัวมาย่อส่วนลงในซิปเดียว และในยุคนี้ได้มีการกำเนิดคอมพิวเตอร์ประเภทใหม่ขึ้น เรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือพีซี (personal computer: PC) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่มีสมรรถนะสูง
ยุคที่ 5 คอมพิวเตอร์ยุดเครือข่าย (พ.ศ. 2533 - ปัจจุบัน)
เมื่อไมโครคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถสูงขึ้น ทำงานได้เร็ว การแสดงผลและการ จัดการข้อมูลก็ทำได้มาก สามารถประม วลผลและแสดงผลได้ครั้งละมากๆ จึงทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้หลายงานพร้อมกัน ดังจะเห็นได้จากโปรแกรมจัดการประเภทวินโดวส์ ในปัจจุบันที่ทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ ขณะเดียวกันก็มีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ในองค์กรมีการ ทำงานเป็นกลุ่ม (workgroup)
ที่มา https://www.slideshare.net/sarankorn/ss-63977903